บทที่ 1 ปรัชญา อุดมการณ์ในการพัฒนาตนเอง


บทที่ 1 ปรัชญาอุดมการณ์ในการพัฒนาตนเอง
ความหมายการพัฒนาตนเอง
การพัฒนาตนเอง ( SELF DEVELOPMENT)
คนเราถ้าจะเก่งต้องประกอบด้วย 3 เก่งคือ
เก่งตน (Self Ability) หมายถึง เป็นผู้ที่ชอบศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ทันโลกทันคน โดยเริ่มจากการพัฒนาตนเองก่อน การพัฒนาตนเองนั้นพัฒนาได้ ๓ ทางคือ
·  ทางกาย องค์ประกอบที่สำคัญคือ รูปร่าง พัฒนาให้ดีขึ้นโดยใช้การแต่งกายช่วยลดจุดด้อยหรือเสริมจุดเด่น หน้าตาสดชื่นแจ่มใส สะอาดหมดจด อากัปกิริยา การแสดงออกเข้มแข็งแต่ไม่แข็งกระด้าง อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ การยืน การเดิน การนั่ง ต้องมั่นคง เรียบร้อย การแต่งกายต้องสะอาดเหมาะสมกับกาลเทศะ เหมาะสมกับรูปร่างและผิวพรรณ
·  ทางวาจา การพูดดีต้องมีองค์ประกอบ ๔ ประการคือ  พูดแต่ดี  มีประโยชน์  ผู้ฟังชอบ และทุกคนปลอดภัย   ก่อนพูดทุกครั้งต้องคิดก่อนพูด  คนที่พูดดี  มีปิยะวาจา เป็นลมปากที่หวานหูไม่รู้หาย เป็นที่รักใคร่ชอบพอแก่ทุก ๆ ฝ่ายที่ได้ยินได้ฟัง
·  ทางใจ การพัฒนาทางใจก็มีองค์ประกอบหลายประการ เช่น ความมั่นใจ  ถ้ามีความมั่นใจในตนเอง จะทำอะไรก็สำเร็จ ความจริงใจ  คือ  เป็นคนปากกับใจตรงกัน  ความกระตือรือร้น  กระฉับกระเฉง   แจ่มใส มีชีวิตชีวา ความมานะพยายามไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ความซื่อสัตย์สุจริต ความสุขใจ ความอดกลั้น ความมีเหตุผล การมีสมรรถภาพในการจำและมีความคิดสร้างสรรค์
เก่งคน (Self Ability) หมายถึง  มีความสามารถที่จะทำตัวให้เข้าไหนเข้าได้   เป็นที่รักใคร่ชอบพอแก่ทุกฝ่าย  มีมนุษยสัมพันธ์ในครอบครัว   พ่อแม่ควรรู้หลักจิตวิทยาในการปกครองลูก ให้ความรัก ความอบอุ่นแก่ลูก ลูกก็ไม่ทำตนให้เป็นปัญหาให้พ่อแม่ และมีมนุษยสัมพันธ์ในการทำงาน สามารถทำตนให้เข้ากับคนได้กับทุกคน หากมีผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาก็รัก หากมีลูกน้อง ลูกน้องก็รัก เพื่อนร่วมงานก็รัก บุคคลภายนอกหรือลูกค้าก็รัก ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์กับตนเองและธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง
เก่งงาน (Task Ability) หมายถึง ผู้ที่รักงาน ขยันทำงาน และรู้วิธีทำงาน มีความขยันหมั่นเพียร มานะ อดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค
การรู้จักตน (Self awareness) คือ การเข้าใจความรู้สึกของตนเอง และจุดมุ่งหมายของชีวิตทั้งระยะสั้นและระยะยาว ตลอดจน การรู้จักจุดเด่นจุดด้อยของตนเองอย่างไม่ลำเอียงเข้าข้างตนเอง
การรู้จักตน (อัตตัญญุตา) หมายถึง การพิจารณาเข้าใจตนเอง ได้แก่ การรู้จักฐานะที่ตนเองเป็นอยู่ การประพฤติตนให้เหมาะสมกับฐานะของตน การปฏิบัติหน้าที่เหมาะสมกับตำแหน่งของตนไม่ก้าวก่ายสิทธิและหน้าที่ของผู้อื่น
การที่เราเปิดเผยตัวเองมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งให้เราเรียนรู้ที่จะเข้าใจตนเอง ยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น การรู้จักตนเอง (Self awareness) รวมไปถึงการรับรู้และรู้จักความสามารถของตัวเราเอง จะต้องรู้ว่าเราเป็นคนอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เก่งอะไร ไม่เก่งอะไร และที่สำคัญเราต้องรู้อารมณ์ของตนเองด้วย ว่าขณะนี้เรามีอารมณ์เป็นอย่างไร การรู้จักอารมณ์ตนเองจะนำไปสู่การควบคุมอารมณ์และการแสดงออกที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งการที่จะรู้จักตนเอง รู้อารมณ์ของตนเองได้ ต้องเริ่มจากการรู้ตัว หรือการมีสติ การรู้จักตนเองเป็นรากฐานของการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง เพราะการรู้จักตนเองหมายรวมถึง ขีดความสามารถของตัวเรา รู้ข้อจำกัดของตัวเองเรา อะไรที่ทำได้ อะไรที่เกินฝัน การรู้จักตนทำให้เราเข้าใจผู้อื่นได้มากขึ้น เราจะพบว่ามีบางเรื่องที่เราคล้ายคนอื่น และมีอีกหลายเรื่องที่แตกต่างกัน เช่น เจตคติ ความคิด ความเชื่อ ประสบการณ์ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่ผลักดันให้เรามีพฤติกรรมหรือการแสดงออกต่างกัน เมื่อเราได้เข้าใจปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ก็จะทำให้เกิดการยอมรับและเข้าใจผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ฝากกลอนคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ไว้เตือนตน ดังนี้
มีสติทุกอิริยา มีบัญชาทุกการกระทำ
อะไรตามอะไรนำ กำหนดรู้ทุกกรณี

การเข้าใจผู้อื่น ( Empathy ) หมายรวมถึง ความสามารถรับรู้อารมณ์ผู้อื่น เข้าใจถึงมุมมองของคนเหล่านั้น เป็นความรู้สึกแบบ เอาใจเขามาใส่ใจเราและให้ความสนใจต่อความกังวลใจของคนดังกล่าว การที่จะเข้าใจคนอื่นได้ดีต้องเปิดใจตนเองรับรู้กรอบสัญญานทางอารมณ์ได้อย่างกว้างขวาง จึงไวในการรับรู้ถึงความรู้สึกทางอารมณ์ของผู้อื่นโดยไม่ต้องพูด เป็นผู้รับฟังอย่างตั้งใจและสามารถจับประเด็นที่เป็นมุมมองของผู้อื่นได้ดี ด้วยทักษะในการเข้าใจความรู้สึกผู้อื่น เราจะเข้ากับบุคคลต่าง ๆ ที่มาจากความหลากหลายทางภูมิหลัง และวัฒนธรรมได้ การที่จะรักษาสัมพันธภาพที่ดี และยาวนานนั้นเราต้องทำให้เขารู้สึกว่าเรา 
-รักเขา - เห็นเขาสำคัญ - ให้เกียรติเขา - ยกย่องเขาเขา -จริงใจต่อเขา - เข้าใจเขา - เห็นเขามีคุณค่า - ช่วยเหลือเขา - เป็นมิตรกับเขา หวังดีต่อเขา
แนวคิดพื้นฐานในการพัฒนาตนเอง
1.   มนุษย์ทุกคนมีเอกลักษณ์ มีศักยภาพ มีคุณค่าสามารถฝึกหัดพัฒนาตนได้ในทุกเรื่อง
2.  ไม่มีใครที่มีความสมบูรณ์ไปหมดทุกด้าน
3.  แม้จะไม่มีใครรู้จักตัวเองได้ดีเท่าตัวเอง แต่ในบางเรื่องตนเองก็ไม่สามารถจัดการปรับเปลี่ยนได้ด้วยตนเอง
4.   การควบคุมสิ่งแวดล้อมทางกายภาพและทางสังคม กับการควบคุมความคิด ความรู้สึกและการกระทำของตนเอง มีผลกระทบซึ่งกันและกัน
5.  อุปสรรคสำคัญของการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง คือ การที่บุคคลไม่ยอมปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีการปฏิบัติ ไม่สร้างนิสัยและฝึกทักษะใหม่ ๆ ที่จำเป็น
6.  การพัฒนาตนเองดำเนินการได้ทุกเวลาเมื่อต้องการหรือพบปัญหาข้อบกพร่อง
  หลักการพัฒนาตนเอง
1.  หลักการพัฒนาตนเองตามแนวคิดจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม
1)    หลักการพัฒนาตนเองตามแนวพฤติกรรมนิยมที่เป็นการเรียนรู้อันเนื่องจากผลกรรมหรือเงื่อนไขของการกระทำ ซึ่งมีทั้งผลกรรมเชิงบวก ได้แก่ การเสริมแรง และผลกรรมเชิงลบ คือ การลงโทษ
2)    หลักการพัฒนาตนเองตามแนวพฤติกรรมนิยมที่เป็นการเรียนรู้ทางสังคม แบนดูร่า (Bandura, 1969) ได้พัฒนาแนวคิดนี้จากความเชื่อถือที่ว่า บุคคลสามารถเรียนรู้พฤติกรรมใหม่จากประสบการณ์ตรงหรือประสบการณ์ทางอ้อม โดยบุคคลเรียนรู้จากผลกรรมและวิธีการเลียนแบบ แบนดูร่าให้ความสำคัญในกระบวนการเรียนรู้จากผลกรรม ซึ่งทำหน้าที่หลายประการ ทั้งเป็นการให้ข้อมูล การจูงใจและการเสริมแรงด้วย ส่วนการเลียนแบบ ประกอบด้วยการใส่ใจ การจำ การกระทำทางกาย และการจูงใจ นอกจากนั้นแบบดูร่ายังเน้นด้วยว่า การเรียนรู้ทางสังคมเป็นกระบวนการทางปัญญาด้วย  โดยมีส่วนประกอบที่สำคัญได้แก่ ความเชื่อมั่นในเงื่อนไข ความคาดหวังในความสามารถของตนและผลที่เกิดขึ้น
  เทคนิคการพัฒนาตนเองตามแนวพฤติกรรมนิยม  ได้แก่การมุ่งปรับพฤติกรรมการ ปรับปรุงตนเอง ด้วยเทคนิคการปรับพฤติกรรมที่สำคัญ คือ การควบคุมตนเอง (Self control)   ซึ่งเป็นกระบวนการที่อาจใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งหรือหลายวิธีประกอบกัน
                 ตัวอย่างเช่น การระงับพฤติกรรมทางกายหรือการใช้เครื่องมือ ได้แก่ การหลับตา ไม่รับรู้ภาพที่มากระทบ หรือปิดห้องทำงานงดการติดต่อกับผู้อื่นในบางครั้ง หรือใช้นาฬิกาปลุกเดือนแรก การควบคุมสิ่งเรา เช่น การปิดเครื่องรับโทรศัพท์ เพื่อลดเวลาการติดต่อกับผู้อื่น การงดอาหารเพื่อให้ร่างกายได้ปรับสมดุล รวมไปถึงการวางเงื่อนไขผลกรรมของตนเอง โดยลงโทษตนเอง เมื่อไม่สามารถปรับปรุงตนได้ด้วยวัตถุประสงค์ และชื่นชมกับการบรรลุวัตถุประสงค์ในการปรับปรุงและการพัฒนาตนเองด้วย
2.  หลักการพัฒนาตนเองตามแนวพุทธศาสตร์
การพัฒนาคนตามหลักพุทธศาสตร์มุ่งการกระทำให้ตนมีความสุขด้วยตนเองมากกว่าการพึ่งพาวัตถุ  พระเทพเวทีได้เสนอวิธีการที่จะพัฒนาตนไปสู่การมีวิถีชีวิตที่ดีงามถูกต้อง ซึ่งเรียกว่าเป็นรุ่งอรุณแห่งการพัฒนาตน มี  7 ประการ  ดังนี้
                ประการที่ 1   รู้จักเลือกหาแหล่งความรู้และแบบอย่างที่ดี ได้แก่ การรู้จักใช้สติปัญญาในการวิเคราะห์ พิจารณาและเลือกแหล่งความรู้ที่ดี เริ่มจากการเลือกคบคนดี เลือกแบบอย่างที่ดี เลือกบริโภคสื่อและข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ที่มีคุณค่า การพัฒนาชีวิตเช่นนี้ เรียกว่าความมีกัลป์ยานมิตร (กัลยาน มิตตา)
                ประการที่ 2   รู้จักจัดระเบียบชีวิต และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเรียบร้อย มีการวางแผนและจัดการกิจการงานต่าง ๆ อย่างมีระบบ ระเบียบ เรียกว่า ถึงพร้อมด้วยศีล (ศีลสัมปทา)
                ประการที่ 3   ถึงพร้อมด้วยแรงจูงใจให้สร้างสรรค์ หมายถึง มีความสนใจ มีความพึงพอใจ มีความต้องการจะสร้างสรรค์ กิจการงานใหม่ ๆ ที่เป็นความดีงาม หรือยังประโยชน์ต่อชีวิต และสังคม เรียกว่า ถึงพร้อมด้วยฉันทะ (ฉันทสัมปทา)
                ประการที่ ความมุ่งมั่นพัฒนาตนให้เต็มศักยภาพ มนุษย์มองภาพไม่ดีของตนว่าสามารถพัฒนาได้  ก็จะมีความงอกงามจนที่ที่สุดแห่งความสามารถของตน  เรียกว่า  ทำตนให้ถึงพร้อม (อัตคสัมปทา)
                ประการที่ ปรับทัศนคติและค่านิยมให้เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตที่ดีงาม เอื้อต่อการเรียนรู้ และทำให้สติปัญญางอกงามขึ้น เรียกว่า กระทำความเห็นความเข้าใจให้ถึงพร้อม (ทิฏฐิสัมปทา)
                ประการที่ การมีสติ กระตือรือร้น ตื่นตัวทุกเวลา หมายถึง การมีจิตสำนึกแห่งความไม่ประมาท เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของชีวิตและสภาพแวดล้อม เห็นคุณค่าของเวลา และใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เรียกว่า ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท (อัปปมาทสัมปทา)
                ประการที่ การรู้จักแก้ปัญหาและพึ่งตนเอง จัดการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบด้วยความคิดวิจารณญาณญาณตามเหตุปัจจัยด้วยตัวเอง เรียกการคิดแบบนี้ว่า โฮนิสสมนสิการ (โฮนิโสมนสิการสัมปทา)
                นอกจากนี้  พระธรรมปิฏก ได้ให้แนวทางการพัฒนาชีวิตที่ยั่งยืน พอประมวลเป็นเทคนิคการพัฒนาตนที่บุคคลพึงฝึกหัดพัฒนา ได้แก่ ความเชื่อในการฝึกฝนพัฒนาคน การมีศีลและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคม ฝึกการเพิ่มภาวะอิสระจากวิกฤตภายนอก บริจาคและสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ฝึกสมาธิเพื่อการสร้างพลังจิตที่เข้มแข็ง ฝึกพัฒนาปัญหาให้มีความเข้าใจชีวิตและโลกที่แท้จริง เพื่อนำไปสู่ความเป็นอิสระเหนือความสุขและความทุกข์  คือ  การฝึกวิปัสสนากรรมฐาน  ผู้สนใจควรศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องการฝึกสมาธิและวิปัสสนากรรมฐานจากแนวการพัฒนาจิตตามหลักพุทธศาสตร์ได้อย่างกว้างขวาง
  ขั้นตอนการพัฒนาตนเอง
1.  สำรวจพิจารณาตนเอง
2.  วิเคราะห์ จุดเด่น - จุดบกพร่อง
3.  กำหนดปัญหาและพฤติกรรมเป้าหมาย
4.  รวบรวมข้อมูลพื้นฐาน
5.  เลือกเทคนิควิธีและวางแผน
6.  ทดลองปรับปรุงพัฒนา
7.  ประเมินผลและขยายผลการพัฒนา
    ปัจจัยการพัฒนาตนเอง
 1)  แนวคิดความเชื่อเกี่ยวกับการพัฒนา ตนเอง
 2)  ผลการสำรวจพิจารณา ตนเอง
 3)  ผลการวิเคราะห์ตนเอง
 4.) พฤติกรรมเป้าหมาย
 5) เทคนิควิธีพัฒนาตนเอง
 6) แผนการพัฒนาตนเอง



อ้างอิง TaNaporN

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น