บทที่ 9 ความต้องการของมนุษย์


บทที่ 9 ความต้องการของมนุษย์
ความหมายของการจูงใจ
          ดาลตัน,ออยเลอะและวอลล์ นิยามคำว่า การจูงใจ ว่าเป็นการกระตุ้นทางอารมณ์ที่เป็นเหตุให้กระทำ การกระตุ้นอาจเป็นความจำเป็นหรือการขับเคลื่อนที่ให้พลังแก่พฤติกรรมในที่ทำงาน การจูงใจเป็นการผสมผสานขององค์ประกอบทั้งหลายในสภาพแวดล้อมการทำงานที่นำไปสู่แรงพลังทางบวกหรือทางลบ ถ้าเข้าใจว่าอะไรจะจูงใจได้ ก็จะยิ่งบรรลุเป้าหมายทางอาชีพและเป้าหมายส่วนตัวมากยิ่งขึ้น
          แชมพูยส์ กล่าวว่า นักจิตวิทยาได้พัฒนาทฤษฎีแรงจูงใจขึ้นมาอธิบายว่า ทำไมคนจึงทำเช่นนั้น ไม่ทำเช่นนี้ ทฤษฎีต่าง ๆ มีสมมุติฐานต่าง ๆ กัน ประการแรกมีสมมุติฐานว่าพฤติกรรมมีจุดเริ่มต้น ทิศทางและจุดสิ้นสุด ประการที่สองพฤติกรรมเป็นการกระทำอย่างสมัครใจอยู่ภายใต้การควบคุมของคนคนนั้น  
          ดังนั้น การจูงใจเป็นกระบวนการทางจิตวิทยาที่บอกเหตุสิ่งเร้า ทิศทางและการกระทำอย่างสมัครใจที่คงเส้นคงวาที่มุ่งสู่เป้าหมาย โดยเลือกความต้องการหรือความจำเป็นมากระตุ้น ให้เกิดพฤติกรรมตามเป้าหมายที่ประสงค์
          นอกจากองค์การจะสร้างระบบการจูงใจขึ้นมา ระบบนี้จะมีสมมุติฐานว่าอะไรจะกระทบต่อพฤติกรรม อะไรจะสำคัญต่อผลของการปฏิบัติงาน ดัง บาร์รอน อธิบายว่า องค์การจะเลือกความจำเป็นหรือความต้องการหรือผู้ปฏิบัติงาน แล้วตอบสนองความต้องการนั้น ซึ่งหวังผลว่า จะให้พฤติกรรมอันพึงประสงค์เพื่อส่งผลไปสู่เป้าหมายที่กำหนด
ทฤษฎีอนามัย แรงจูงใจของเฮอร์สเบอร์ก
          ทฤษฎีอนามัย แรงจูงใจของเฟรดเดอริก เฮอร์สเบอร์ก ไม่ได้อยู่บนฐานของความจำเป็นทั้งไม่ได้เข้ากันอย่างเหมาะเจาะกับทฤษฎีพฤติกรรมและความรู้ที่บรรยายในตอนต่อไป เป็นประโยชน์ในฐานะการถ่ายเปลี่ยน ระหว่างทฤษฎีที่มีฐานแห่งความจำเป็นบริสุทธิ์กับทฤษฎีที่มีฐานบนกระบวนการทางพฤติกรรมและความรู้
          เฮอร์สเบอร์กเรียกรายการที่พบในคำบรรยายด้านลบว่า ตัวสร้างความไม่พึงพอใจเรียกสิ่งที่พบในคำบรรยายด้านบวกว่า ตัวสร้างความพึงพอใจ ตัวสร้างความไม่พึงพอในจะนำผู้ปฏิบัติงานไปสู่ความไม่พึงพอใจระดับสูง ถ้าฝ่ายตัวสร้างความไม่พึงพอใจ ผู้ปฏิบัติงานจะลดความรู้สึกไม่พึงพอใจ แต่ไม่ทำให้ความพึงพอใจสูงขึ้น ตัวสร้างความพึงพอใจจะนำไปสู่ระดับความพึงพอใจสูง แต่การไม่พบหรือความล้มเหลวของบุคคลที่ประสบจะไม่ผลิตความไม่พึงพอใจ
          การสังเกตของเฮอร์สเบอร์ก เรื่องความพึงพอใจกับความไม่พึงพอใจแตกต่างไปจากทัศนะ โดยทั่วไปที่มองกัน ทัศนะแบบดั่งเดิมเห็นความพุงพอใจอยู่ปลายสุดด้านหนึ่ง และเห็นความไม่พึงพอใจอยู่อีกสุดปลายหนึ่ง งานวิจัยของเฮอร์เบอร์กเสนอว่าทั้งสองอย่างอยู่คนละส่วนกัน ส่วนความพึงพอใจ กับส่วนความไม่พึงพอใจ กล่าวสั้น ๆ เนื้อหาที่แตกต่างกันของประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติงานเกื้อหนุนต่อความพึงพอใจและความไม่พึงพอใจแยกส่วนกัน
ทฤษฎีบุคลิกภาพมนุษย์ของเมอร์เรย์
          ทฤษฎีบุคลิกภาพมนุษย์ของเมอร์เรย์ เมอรืเรย์มีความคิดว่ามนุษย์จะปรับตัวเมื่อเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมที่เคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมมนุษย์มีเป้าหมายเป็นเครื่องนำทางและมีเป้าประสงค์ ทั่งองค์ประกอบภายในตน (ความต้องการ) กับองค์ประกอบภายนอก คือ สภาพแวดล้อมเป็นตัวคุมพฤติกรรมของมนุษย์ คนเรียนรุ้จากปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมภายนอกและจากประสบการณ์เดิม คนนึกไว้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรในลำดับต่อไป
          ทฤษฎี แบ่งความจำเป็นออกเป็น 2 ส่วน คือ
1. ความจำเป็นทางร่างกาย เป็นความพึงพอใจเกี่ยวกับกระบวนการพื้นฐานทางร่างการมนุษย์
2. ความจำเป็นทางจิต เน้นความพึงพอใจด้านอารมณ์
          ลักษณะความจำเป็น ความจำเป็น เป็นลักษณะแผ่งเร้นภายใน จะมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ก็โดยการกระตุ้นหรือเย้าประสบการณ์ของคนคนนั้น คนพยายามพฤติกรรมเพื่อสนองตอบความจำเป็นที่กระตุ้น ถ้ามีความเป็นมิตรสูง แล้วพบกับคนที่รู้จักชอบพอกำลังเดินอยู่ในมหาวิทยาลัยก็อดไม่ได้ที่จะพูดคุยกับคนนั้น
          ความจำเป็น โดนเฉพาะอย่างยิ่งความจำเป็นที่ตรงกันข้าม อาจแสดงให้เห็นเป็นช่วงจังหวะตามควรแก่เวลา ผู้จัดการเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ต้องแสดงออกทางพฤติกรรมให้ตอบสนองความพึงพอใจความจำเป็นที่ตรงข้ามสองอย่าง
          ความจำเป็นที่ตรงกันข้ามนี้ ยังมีประโยชน์ในการเข้าใจพฤติกรรมที่ขัดแย้งกันหรือเป็นปริศนา คนหนึ่งอาจพึงพอใจความจำเป็นการยึดกุมในงานกิจกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีตำแหน่งฝ่ายบริหารหรือหัวหน้างาน คนเดียวกันนี้อาจละทิ้งบทบาทความเป็นผู้นำในชีวิตที่ไม่ใช่การทำงานโดยการเลือกที่จะทำตามคนอื่น   
ทฤษฎีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของแมคคลิลแลนด์
          เดวิด ซี แมคคลิลแลนด์กับพวกได้ศึกษาบทบาทของความจำเป็นเพื่อสัมฤทธิ์ผล ความจำเป็นสำหรับอำนาจ และความจำเป็นสำหรับความเป็นมิตรในการตัดสินพฤติกรรมมนุษย์
          คนที่มีความจำเป็นสำหรับสัมฤทธิ์ผลแข็งกล้า จะรับผิดชอบผลของพฤติกรรมของตนและต้องการแก้ไขปัญหา คนเช่นนี้ชอบค้นหาทางเอาชนะอุปสรรค ต้องการความสำเร็จ แต่ก็ยังอยากคำนึงถึงความสำเร็จ คนที่อยากได้สัมฤทธิ์ผลสูงจะวิเคราะห์ สถานการณ์ พยายามเข้าใจโอกาสแห่งความสำเร็จ ตั้งเป้าหมายแห่งความสำเร็จระดับปานกลางไว้เพื่อตนเอง เป้าหมายเหล่านั้นเข้าถึงได้ไม่ง่ายหรือไม่ยากเกินไป คนเหล่านี้ชอบกำหนดมาตรฐานผลการปฏิบัติงานสำหรับตนเองและไม้คำนึงแรงจูงใจจากภายนอกเท่าใดนัก มักแสวงหาสถานที่ยอมตอบสนองสัมฤทธิ์ผลชอบงานที่ไม่ประจำซ้ำซาก มองหาและยินดีรับคำติชมงานที่ตนได้ทำ ทักษะความสามารถและการฝึกอบรมทั้งหลายทั้งปวงรวมเข้าเป็นผลการปฏิบัติงานของคนที่มุ่งแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ผู้ที่ได้รับแรงจูงใจอย่างสูงย่อมมีความสามารถสูงจะทำงานได้ดีว่าคนที่ได้รับแรงกระตุ้นแต่มีความสามารถต่ำกว่า



อ้างอิง หนังสือการพัฒนาประสิทธิภาพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น