บทที่ 8 การสร้างความเชื่อมั่นตนเอง


บทที่ 8 การสร้างความเชื่อมั่นในตน
แนวคิดของความเชื่อมั่นในตน
          แนวคิดของการเชื่อมั่นในตน มีที่มาหลายแนวคิด แนวคิดหนึ่ง คือความคิดของ รีสและบรานดด์ ที่เสนอว่า ความเชื่อมั่นในตน = ประสิทธิชัยในตน + ความนับตนเอง
          1. ประสิทธิชัยในตน เป้นความเชื่อมั่นว่ามีความสามารถคิด เข้าใจและตัดสินใจ ที่จะทำการเรื่องนั้น ๆ เมื่อมีประสิทธิชัยในตนสูง จะเชื่อว่าตนเองมีความสามารถกระทำการได้เหมาะสม เมื่อมีประสิทธิชัยในตน แหล่งที่มาของประสิทธิชัยในตนก็คือประสบการณ์ในการควบคุมนั่นคือ เมื่อสำเร็จครั้งหนึ่งแล้วจะเชื่อมั่นว่าจะสำเร็จได้ในเรื่องอื่น ๆ ได้อีกด้วย
          2. ความนับถือตนเอง องค์ประกอบอีกส่วนหนึ่งของความเชื่อมั่นในตน ก็คือสิ่งที่คิดและรู้สึกเกี่ยวกับตนเอง อาจอธิบายการนับถือตนเอง ได้ว่าเป็นความรู้สึกลึก ๆ ของคุณค่าแห่งตนของคน การเชื่อว่าตนมีค่าเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุความสำเร็จของตน คนที่นับถือตนเองจะกระทำในทางที่มั่นใจและเสริมแรงความนับถือนั้น
หลักการในการพัฒนาความเชื่อมั่นในตน
          ในการสร้างความเชื่อมั่นในตน แม้จะมีวิธีการต่าง ๆ แต่ก็มีหลักการที่ให้เป็นแนวคิดให้ตระหนัก เพื่อพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเอง ดังที่ วอลเลสและมาสเดอร์ส เสนอไว้ คือ
          1. เมื่อรังเกียจตนเอง จะมีความเชื่อมั่นในตนต่ำ แต่การที่ไม่สามารถเป็นคนสมบูรณ์พร้อมก็ไม่ควรเสียความนับถือตนเอง ทุกคนล้วนทำความผิดพลาด มีความไม่สมบูรณ์ ก็เช่นเดียวกับที่ยังนับถือคบเพื่อนที่มีข้อบกพร่องตนเองก็ควรนับถือตนเองด้วยเหตุผลเดียวกับการนับถือเพื่อน คนเราจึงควรเชื่อในตนเอง มีความศรัทธาในความสามารถในตนเอง คนที่ปราศจากความเชื่อมั่นที่มีเหตุผล
          2. ความเชื่อมั่นในตน ไม่ใช่การหลอกหรือหลงตน แท้จริงความเชื่อมั่นในตนเอง ทำให้ตนรู้ว่าตนมีส่วนดี ส่วนเสียอย่างไร แต่เป็นการชูด้านดีของตนขึ้นมา ขณะเดียวกันก็ยังถ่อมตนได้ เนื่องจากการตระหนักรู้ตนเองว่าตนเองมีค่า
          3. การชอบตนเอง แม้ไม่ได้ความหมายว่า จะชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนทำ ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นความนิยมชมชอบความสามารถพิเศษที่ตนมี ให้คุณค่าความเป็นคนของตน ปรารถนาให้ตนเป็นคนที่ดีที่สุด
          4. การรับผิดชอบต่อการกระทำของตน เป็นอีกทางหนึ่งในการเชื่อมั่นในตนเอง ถ้าตนเองทำอะไรลงไป แล้วมัวแต่ไปโทษคนอื่น หรือตราหน้าตนเองว่าเป็นคนล้มเหลว ก็จะเป็นคนที่ไม่เคยได้รับประสบการณ์แห่งความเชื่อมั่นในตนเอง
          5. รับความจริงตามความเป็นจริง บางทีสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้น โดยอยู่เหนือการควบคุม ก็รับผิดชอบต่อปฏิกิริยาของตน ยอมรับว่าสิ่งนั้นเป็นประสบการณ์จริง เผชิญหน้ากับสถานการณ์นั้น
          6. มีความแตกต่างกันที่สำคัญชัด ระหว่างการเป็นคนดีที่มีข้อบกพร่องให้ปรับปรุงกับการเป็นคนเลิกล้มยอมพ่ายแพ้กลางคัน เมื่อชื่นชมสิ่งดีในบุคลิกภาพของตนแม้จะมองเห็นว่าข้อบกพร่อง ต้องพึ่งพาคนอื่น ก็ยังสามารถพอใจ ชอบพอตนเองอย่างแท้จริงได้
การเผชิญหน้าความจริงกับสามารถสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง
          การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง ต้องกล้าเผชิญหน้า หาเหตุที่แท้จริง รู้สถานการณ์จริง มีแนวคิดของตนกับประสบการณ์จริงที่สอดคล้องกัน ถอดหน้ากากของตนออก พร้อมเผชิญความจริงซึ่งจะได้อธิบาย ดังต่อไปนี้
          1. การเผชิญหน้ากับการยอมรับความจริง
             คนมักหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ไม่ยอมรับความจริงเพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่ง ภาพลักษณ์ที่ผิดพลาดไม่เป็นจริง คนชอบซ่อนความเป็นจริงเน้นประสบการณ์ที่ไม่ค่อยต่อเนื่องกับภาพลักษณ์ของตนเอง ปฏิเสธที่จะยอมรับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ๆ
          2. ถอดหน้ากาก
             คนจึงควรถอดหน้ากากออกบางครั้งคนสวมหน้ากาก เพื่อปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของคน กระทำหรือเล่นบทบาประทับใจผิด ๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายหรือมองต่อคนหน้าคนอื่น เพื่อให้รู้ ให้ปรากฏว่าดีกว่าตนที่เป็นอยู่ เพื่อเป็นตัวตนที่แท้จริง เป็นตัวตนที่ตนเองยอมรับนับถือตนเองได้อย่างสนิทใจ
          3. ผลของการขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
             วัยรุ่นหญิงคนหนึ่ง มองตนเองว่าเป็นคนที่ไม่มีคนชอบ จึงไม่เช้าร่วมสังคมกับคนอื่น 
การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง
          นักปราชญ์ทางจิตศึกษา รู้จักการทำงานของจิตมนุษย์มาหลายพันปีแล้ว ได้แบ่งจิตของมนุษย์เป็น 3 ระดับ คือ
          ระดับที่ 1 จิตสำนึก
          ระดับที่ 2 จิตใต้สำนึก
          ระดับที่ 3 จิตเหนือสำนึก
 (ขอกล่าวเฉพาะ จิตสำนึกและจิตใต้สำนึกเท่านั้น)
          1. จิตสำนึก มีหน้าที่ในการรับรู้ นึกคิด สั่งการ โดยอาศัยประสาทรับรู้ทั้งห้า หู ตา ลิ้น จมูก กาย ในการรับรู้ นึกคิด สั่งการ เช่น วันนี้ไปเดินที่ศูนย์การค้า เมื่อเดินผ่านร้านขายเสื้อผ้า เห็นเสื้อแบบที่ชอบแขวนไว้บอกว่าลดราคา 40% (รับรู้) รู้สึกอยากเป็นเจ้าของเสื้อตัวนั้น (นึกคิด) จึงหยิบเงินมาซื้อเสื้อ (สั่งการ)
          2. จิตใต้สำนึก เป็นแหล่งบันทึกข้อมูลขณะคนไม่รู้ คนที่มีความคิด นิสัยใจคอ พฤติกรรม มองตนเอง เช่นไร ก็เนื่องจากผลของจิตใต้สำนึกที่สะท้อนออกมา ข้อมูลที่ผ่านประสาททั้งห้า จะเข้าไปบันทึกในจิตใต้สำนึกโดยคนคนนั้นไม่รู้ตัว จิตใต้สำนึกไม่อาจแยกได้ว่าสิ่งนั้นดีหรือเลว ถูกหรือผิด บวกหรือลบ เมื่อได้รับข้อมูลว่าตนเป็นคนโง่ ก็จะเก็บข้อมูลว่า “ฉันเป็นคนโง่” ไว้ประหนึ่งพันธุ์พืชที่หว่านลงบนดิน ย่อมให้ผลเป็นพืชพันธุ์ที่เพาะหว่านนั้น


อ้างอิง หนังสือการพัฒนาประสิทธิภาพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น